กลับมาแล้ว วันหยุดที่ผ่านมาอิตาหมอพาไปเที่ยวที่ Chalevoix (ออกเสียงว่า ชาเลอฟัว) ห่างจากเมืองที่เราอยู่สี่ชั่วโมง เราออกเดินทางกันแต่เช้า แต่ก็ไปแบบไม่เร่งรีบ แวะจอดไปเรื่อย เข้าห้องน้ำตามที่พักกลางทางมั่ง ซื้อขนมกินมั่งเรื่อยเปื่อย แต่วันนี้ดีจังที่มัลดิฟส์ไม่ร้องงอแง she ดูมีความสุขที่ได้ออกมานั่งรถเที่ยว ยิ้มนอยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ไม่ร้องกินนมด้วย วุ่นวายอยุ่กับมือและนิ้วน้อยของ she ตลอดทาง
ตลอดสองฝั่งข้างทางที่เราเห็น เป็นอะไรที่สวยงามมาก ภูเขา ต้นไม้ เต็มไปด้วยสีสัน เหมือนมีคนเอาสีไประบายไว้ มองแล้วเพลินดี
พอใกล้ถึงที่พัก เราแวะกินอาหารกลางวันในเมืองเล็กๆของที่นั่น เป็นร้านอาหารที่ผลิตเบียร์เอง กินเสร็จก็ชวนกันไปเดินเล่นตามร้านค้าแล้วก็แกลลอรี่ภาพวาดที่ he ชอบนักชอบหนา แหมๆ พ่อคนอารมณ์ศิลป์ ชวนเราดูรูปนู้นรูปนี้ ถามเราว่าสวยมั้ย เราตอบตามตรงว่า ไม่รู้หรอกว่ามันสวยยังไง เพราะทุกรูปมันเหมือนกันหมดสำหรับเรา ก็คงเหมือนกับให้ผู้ชายไปเดินดูเครื่องสำอางค์กับเรานั่นแหละ he ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละยี่ห้อ หรือครีมแต่ละกระปุกมันต่างกันตรงไหน
เดินทางต่อไปยังที่พัก ตอนแรกเราจะพักทีโรงแรมที่เป็นเหมือนปราสาทเก่า แต่ห้องเต็มหมด เพราะโรงแรมนั้นมีคาซิโนด้วย แล้วช่วงนี้ก็เป็นช่วงท่องเที่ยวซะด้วย ห้องเลยไม่ว่าง เราเลยต้องมาพักอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน แต่ที่พักของเรารูปร่างจะเหมือนบ้านหลังใหญ่ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่คนนิยมมาพักกัน เพราะอาหารอร่อย ขึ้นชื่อเป็นภัตตาคารสำหรับดินเนอร์ที่ดีที่สุดในเมือง
โรงแรมของเราจะตกแต่งแบบคันทรีออกแนวโบราณนิดๆ ไม่สวยทันสมัยเหมือนโรงแรมในบ้านเรา แต่ตั้งแต่ไปเที่ยวมาหลายๆที่ตามสถานที่พักตากอากาศของแคนนาดา มันก็ไม่มีโรงแรมไหนที่จะตกแต่งทันสมัยเหมือนบ้านเราเลย ออกแนวคันทรีทั้งนั้น ยกเว้นโรงแรมในเมือง อย่างในมอนทรีออลก็จะตกแต่งเหมือนโรงแรมบ้านเรา แต่พวกเครื่องมือเครื่องใช้ในห้องก็มีครบทุกอย่างเหมือนกัน เราเห็นโรงแรมนี้ครั้งแรกยังคิดว่า แหม โรงแรมเล็กขนาดนี้ยังแอบแพงได้อีก คืนละ 300 เหรียญแน่ะ ราคาเท่าโรงแรมที่เป็นปราสาทเก่านั้นเลยอ่ะ พอเข้าไปยิ่งคิดเสียดายตังค์เข้าไปใหญ่เพราะไม่มีลิฟท์ให้อีก ต้องแบกของขึ้นไปบนห้องกันเองด้วย ไม่มีคนบริการยกของให้ ชิ แต่มันก็มีอยู่แค่สามชั้นอ่ะนะ เราพักที่ชั้นสอง ไม่เห็นมีอะไรพิเศษให้น่าแพงเลยอ่ะ
เก็บของเสร็จ he ชวนออกไปเดินเล่น เดินไปที่โรงแรมที่เป็นปราสาทซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 15 นาทีในการเดิน ตอนแรกจับ Ophelia นั่งในรถเข็น แต่พอเข็นไปซักพัก she เริ่มแหกปากเสียงดัง ไม่ยอมหยุด จนต้องอุ้มออกมาใส่กระเป๋าอุ้มเด็กแทน she คงรู้สึกอุ่นที่ได้อยู่บนอกแด๊ดดี้มั้ง หยุดร้องทันที แถมยิ้มหัวเราะเสียงดังอีกด้วย แสบจริงๆยัยเด็กอ้วน อิอิ เราเข็นรถเข็น he อุ้มลูกเดิน พอไปถึงโรงแรมนั้น เราอยากจะเปลี่ยนมาที่นี่จริงๆ มันช่างต่างกันริบเลย แต่ก็ยังไม่หายสงสัยว่าทำไมโรงแรมเรากับโรงแรมนี้ราคามันเท่ากันได้ไงฟะ ต่างกันขนาดนี้ ที่นี่วิวก็สวยกว่า อยู่ติดทะเลด้วย แต่คนเยอะจริงๆง่ะ มีรถบัสทัวร์มาลงตลอด คนก็เดินขวักไขว่ตรงหน้าคาซิโน บ้างก็ยืนสูบบุหรี่จนเหม็นตลบไปหมด บ้างก็เดินชมวิวกัน
เราเดินชมวิว ถ่ายรูปกันซักพัก เข้าไปเดินดูในโรงแรม แล้วก็เดินกลับโรงแรมของเรา แต่เราผิดหวังกับที่ chaleviox นิดหน่อยตรงที่ไม่เห็นจะมีสีสันสวยๆของต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีเยอะๆเหมือนที่คิดไว้เลย อาจเป็นเพราะที่นี่ติดกับทะเลมั้ง ไม่ใช่เป็นภูเขาเยอะๆแบบที่อื่น ไม่เห็นมีอะไรทำเลย ทำไมคนชอบมากันจัง
ถึงเวลา dinner เราจองโต๊ะไว้ตอนสองทุ่มครึ่ง เพราะก่อนหน้านี้จะเต็มไม่มีโต๊ะว่าง เราเดินลงไปที่ห้องอาหารชั้นล่าง เห็นมีคนยืนรออยุ่หลายคน มองเข้าไปข้างในห้องอาหาร บรรยากาศดีมาก ไม่นึกว่าโรงแรมเล็กๆแบบนี้จะมีห้องอาหารระดับนี้อยู่ด้วย สมแล้วจะขึ้นชื่อเรื่องอาหาร dinner แขกที่มากินที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นแขกที่พักที่นี่ด้วย ทุกคนแต่งตัวดีกันทั้งนั้น มิน่าล่ะ อิตาหมอถึงเปลี่ยนชุดก่อนลงมาทานอาหาร แล้วถามเราว่าเราไม่เปลี่ยนชุดเหรอ ก็จะรู้มั้ยอ่ะว่าต้องแต่งตัวดีๆ เห็นโรงแรมเล็กๆเราเอาแต่ชุดที่ไว้ใส่เดินเขามาเท่านั้น รองเท้าก็รองเท้าผ้าใบที่เพิ่งซื้อสำหรับเดินเขาโดยเฉพาะอีกตะหากไม่ใช่รองเท้าสวยๆแบบทุกทีที่ใส่
พนักงานพาเราไปนั่งโต๊ะ เอาเมนูมาให้ แล้วก็อธิบายอาหารในเมนู พนักงานแต่งตัวดีมาก การพูดจาหรือการยืนการเสริ์ฟ เยี่ยงภัตตาคารชั้นหนึ่งในฝรั่งเศส มีเตาผิงไว้ให้แขกปิ้งขนมปังกันเองด้วยอ่ะ แปลกดี
บรรยากาศดี เสียงคุยของแขกแต่ละโต๊ะก็ไม่ดังสนั่น อาหารแต่ละจานตกแต่งสวยงามอย่างแรง รสชาดอร่อยมากมาย พนักงานบริการดีเยี่ยม แล้วอิตาหมอก็ถามเราว่า เป็นไง บรรยากาศแตกต่างกับโรงแรมใหญ่นั้นมั้ย ที่นั่นมีแต่พวกไปเล่นคาซิโน แต่งตัวแปลกๆ ยืนสูบบุหรี่กันควันคลุ้ง คุยกันเสียงดัง แตกต่างกับที่นี่ที่มีแต่คนแต่งตัวดีๆ ดูเป็นผู้ดี คุยกันอย่างมีที่นี่กัน
เช้ารุ่งขึ้น เราก็ลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารนี้อีก ก็ประทับใจเหมือนเดิม เสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางกลับบ้าน แต่เราบอก he ว่าให้พาไปเที่ยวที่อื่นระหว่างทางกลับบ้านที่ที่มีต้นไม้ มีสีสันมากกว่าที่ chalevoix เพราะไม่เห็นจะมีอะไรที่เราคาดหวังไว้เลย he เลยพาเราไปที่ Mont Saint Anne เป็นภูเขาสำหรับเล่นสกีหิมะช่วงฤดูหนาว แค่เราเห็นสีสันของภูเขาลูกนี้ก่อนจะขึ้นไปก็ตื่นเต้นแล้ว สวยจริงๆ บรรยายไม่ถูกเลยอ่ะ มีคนมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก he บอกว่า he ชอบมาเล่นสกีที่นี่ ปีนี้ก็จะมาอีก
เรานั่งกอนดอร่า หรือกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปบนยอดเขากัน เพราะให้เดินคงไม่ไหวแน่ ทั้งสูงทั้งชัน แต่ก็มีหลายคนที่เดินกันขึ้นไป คนที่นี่ชอบออกกำลังกาย
วันนี้เป็นวันที่ดีอีกวันนึง อากาศเย็นแต่มีแดด และไม่มีลมพัดแรงๆ เลยทำให้ไม่รู้สึกหนาวจนทนไม่ได้ บวกกับการเดินทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเยอะ ตอนยืนรอกระเช้าอยู่ เหลือบไปเห็นป้าย information บอกว่าอากาศวันนี้บนยอดเขาศูนย์องศาเซลเซียส เย้ยยยยยย เราไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวที่กันได้ขนาดนั้นมาซะด้วย แต่เราเอามาให้ Ophelia ส่วน he ก็เอามา แต่ช่างมัน สู้ตายค่ะ เพราะบนนั้นมันสวยเกินห้ามใจ โฮะๆ
นั่งกระเช้าขึ้นไปถึงยอดเขา โอ้วววววว หนาวจริงๆด้วย แต่โชคดีที่มีแดด เลยช่วยได้เยอะ แล้วอิตาหมอก็พาเดินทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น เดินต่อขึ้นไปที่จุดชมวิว เล่นเอาเหนื่อยหอบเลย แต่พอเห็นวิวแล้ว คุ้มจริงๆ สวยสุดๆ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ประทับใจมาก ยังบอกว่าทำไมเมื่อวานเราไม่มาพักที่นี่ ที่นี่มีกิจกรรม มีอะไรให้ทำให้ดูเยอะกว่าที่ chalevoix ซะอีก he บอกว่า next time ฮ่าๆ
Life in Canada
คนแคนนาดาเป็นคนที่มีรูปร่างดีซะส่วนใหญ่ ไม่อ้วนเพละ ถ้าเป็นคนตัวใหญ่ก็จะแข็งแรงเป็นแบบตัวใหญ่แต่สุขภาพดีน่ะ คนแก่ที่นี่ เท่าที่เรารู้จักและเห็นมา จะอายุยืนมาก อย่างพ่อแม่ของ he หรือพ่อแม่เพื่อน หรือแม้กระทั่งคนไข้ของ he ก็จะอายุมากๆกันทั้งนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ 70-95 ทั้งนั้น แถมยังเดินเหินคล่องแคล่ว ถือของหนักๆกันแบบสบายๆ ขี่จักรยาน เดินขึ้นเขาลงเขากันหน้าตาเฉย บางคนถึงขั้นวิ่งจ้อกกิ้งกันเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะที่นี่อากาศดีมาก ยังมีธรรมชาติอยู่เยอะ
คนที่นี่ชอบออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะเห็นคนขี่จักรยาน วิ่งจ้อกกิ้ง เล่นสเก็ตบอร์ด แม้แต่เด็กเล็กๆก็จะขี่จักรยานกันตามปาร์ค ตามสถานที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก บนถนนจะมีเลนไว้สำหรับจักรยานโดยเฉพาะ รถยนต์จะวิ่งในเลนนั้นไม่ได้เด็ดขาด ที่ไหนๆก็จะมีที่สำหรับจอดจักรยาน แม้แต่กระเช้าขึ้นเขาก็ยังมีที่ให้แขวนจักรยานบนกระเช้าเลย
เค้าให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายกันมากๆ เราสันนิฐานว่า อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี และอุณหภูมิที่เปลี่ยนขึ้นๆลงๆแบบต่างกันมากในแต่ละวัน หรืออาจในวันเดียวกันก็ได้ เช่น เมื่อวานอากาศอบอุ่นถึงขั้นต้องเปิดแอร์นอน แต่พอมาวันนี้อากาศลดลงเหลือแค่สิบห้าองศา และมีอยู่หลายครั้งที่ตอนเช้าหนาวจนต้องเปิดฮีทเตอร์ พอช่วงสายๆฝนตก ตอนบ่ายแดดออกจนร้อนประมาณยี่สิบสามองศาจนต้องเปิดแอร์ พอตกกลางคืนอุณหภูมิลดเหลือสิบองศาได้อีก มีทุกสภาพอากาศในวันเดียวกัน อุณหภูมิขึ้นลงทีละเป็นสิบองศา คนที่นี่เลยต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนรวดเร็วแบบนี้ให้ได้ สำหรับเราไม่มีปัญหาในการปรับตัวอยู่แล้ว เพราะเราทำงานสายการบินมาก่อน แถมอยู่ในประเทศทะเลทรายอีกตะหาก เมื่อวานอยู่มิวนิคอากาศห้าองศา วันนี้บินกลับโดฮา อากาศ 40 องศา ตอนเย็นบินต่อไปประเทศหนาวอีกแล้ว เป็นแบบนี้บ่อยๆเลยไม่รู้สึกแปลกอะไร
สถานที่ที่พี่ก้อยพาไปเที่ยวสวยมากๆค่ะ
โดยเฉพาะยอดเขาสุดท้ายที่พาไป แปลกตาสำหรับคนเมืองร้อนอย่างแก็ปที่สุด
ตอนนี้ที่เกาะก้อยังเขียวปี๋อยู่เหมือนเดิมเลย ยังไม่สวยเหมือนที่อื่นๆ คงเพระาอากาศยังอุ่นๆๆอยู่
น้องโอฟี่มือสวยนะค่ะ ท่าทางโตมานิ้วคงยาวเรียวแน่ๆ
Posted by: Account Deleted | 10/05/2010 at 12:20 ก่อนเที่ยง
สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เห็นต้นไม้เยอะๆ สีสวยๆ แบบนี้ แค่รี่เห็นรูปก็ตะลึงแล้วค่ะ ของจริงจะสวยขนาดไหนเนี่ย
ชอบโรงแรมที่ดูเป็นปราสาทโบราณ ดูแล้วลึกลับน่าค้นหาดีนะคะพี่ก้อย
ถึงจะได้พักอีกที่ แต่อาหารอร่อย ก็คุ้มล่ะค่า
Posted by: Account Deleted | 10/05/2010 at 05:21 ก่อนเที่ยง
อ้อ รี่เขียนบล็อกได้แล้วค่ะ ดีนะที่มาถามพี่ก้อย ไม่งั้นคงจะงงต่อไป 555
Posted by: Account Deleted | 10/05/2010 at 05:22 ก่อนเที่ยง
สวยมากเลยคะพี่ก้อย โอฟีคงจะมีความสุขถึงไม่งอแงงัยคะ ^^
Posted by: Account Deleted | 10/05/2010 at 10:10 หลังเที่ยง